ข่าวบอล บุนเดสลีกา : “อูลี เฮอเนส” : นักเตะอัจฉริยะที่ออกมาบริหาร “บาเยิร์น” ให้เป็นทีมขวัญใจมหาชนตั้งแต่อายุ 27

อูลี เฮอเนส เพิ่งประกาศก้าวลงจากประธานสโมสร บาเยิร์น มิวนิค เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่ผ่านมา หลังใช้ชีวิตอยู่กับสโมสรแห่งนี้มาเกือบครึ่งชีวิต

ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีก่อน เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ต้องแขวนสตั๊ดก่อนวัยอันควร และเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมทั่วไปของสโมสรในวัยไม่ถึง 30 ปี ท่ามกลางปัญหามากมายที่รุมเร้า

แต่หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนบาเยิร์น ให้กลายมาเป็นมหาอำนาจของวงการฟุตบอลเยอรมัน รวมถึงฟุตบอลยุโรป และเป็นหนึ่งในทีมที่มีสถานะทางการเงินมั่นคงที่สุดของโลก

ยอดแข้งดาวรุ่งแห่งเยอรมัน

แม้ว่าเฮอเนส จะเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการทีมมากฝีมือของบาเยิร์น แต่อันที่จริง เขาคือหนึ่งในยอดแข้งของทัพเสือใต้คนหนึ่ง ชีวิตของเขากับสโมสรแห่งนี้ เริ่มต้นครั้งแรกในปี 1970 ในตอนที่เขาย้ายจาก TSG อูล์ม สโมสรในบ้านเกิด มาอยู่กับทีมด้วยวัย 18 ปี

ข่าวบอล บุนเดสลีกา

เฮอเนส ในวัยละอ่อน ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถเบียดขึ้นมาอยู่ในทีมชุดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว และทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทันทีในซีซั่นแรกที่ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ ด้วยการซัดไป 6 ประตูจาก 31 นัด ช่วยให้ทีมจบในอันดับ 2 ของตาราง และคว้าแชมป์ เดเอฟเบ โพคาล มาครอง

หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นนักเตะที่ขาดไม่ได้ของบาเยิร์น กับการลงเล่นเคียงข้างนักเตะระดับตำนานอย่าง ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์, แกรด มุลเลอร์ และ เซปป์ ไมเออร์ จนสามารถช่วยทีมคว้าแชมป์มาประดับตู้โชว์อย่างเป็นกอบเป็นกำ

ทั้งแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกันในฤดูกาล 1971–72, 1972–73, 1973–74 และแชมป์ยูโรเปียนคัพอีก 3 สมัยในปี 1973-74, 1974-75 และ 1975-76 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1974-75 เขาทำผลงานเด่นด้วยการยิง 2 ประตูช่วยให้บาเยิร์นไล่ถล่ม แอตเลติโก มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศ เกมแข่งใหม่ 4-0 หลังเสมอกันมา 1-1 ในเกมนัดชิง

นอกจากนี้เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมชาติเยอรมันตะวันตกชุดคว้าแชมป์ยูโรเมื่อปี 1972 และร่วมคว้าแชมป์โลกกับทัพอินทรีเหล็กในอีก 2 ปีต่อมาด้วยวัยเพียง 22 ปี ด้วยการเอาชนะเนเธอร์แลนด์ไปได้ 2-1 ในนัดชิงชนะเลิศ

จุดเด่นของเฮอเนส อยู่ที่ความว่องไว เขาเป็นกองหน้าความเร็วสูง โดยสามารถวิ่ง 100 เมตรในระยะเวลาเพียงแค่ 11 วินาที ที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นคู่หูที่อันตรายที่สุด ยามได้จับคู่กับ แกรด มุลเลอร์ ในทีมชาติ

ชีวิตของ เฮอเนส กับบาเยิร์นดูเหมือนจะลงตัวไปเกือบทุกอย่าง ทั้งการได้ลงเล่นและคว้าโทรฟีแชมป์ อนาคตเขาดูเหมือนจะรุ่งโรจน์สดใส แต่แล้วอาการบาดเจ็บในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปียนคัพ ในปี 1975 ก็ดูเหมือนจะพรากมันไปทุกอย่าง

มันเกิดขึ้นในเกมที่ ปาร์ค เดอ แปรงส์ ซึ่ง บาเยิร์น โคจรมาพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด เฮอเนส ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง แต่เขาก็อยู่ในสนามได้ถึงแค่นาทีที่ 38 หลังได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่าจนเล่นต่อไม่ไหว

หลังจากนั้นเฮอเนส คนเดิมก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย แม้ว่าเขาจะยังยิงประตูได้บ้าง แต่โดยรวมถือว่ายังสอบไม่ผ่าน ทำให้ในปี 1978 เขาถูกปล่อยตัวให้เนิร์นแบร์กยืมตัว หวังช่วยฟื้นฟูร่างกายให้หายดี

และมันก็กลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาในฐานะนักฟุตบอลอาชีพ หลังจากลงเล่นให้เนิร์นแบร์กไปเพียง 11 นัด เขาก็ประกาศแขวนสตั๊ดในปี 1979 ด้วยวัยเพียง 27 ปี

แต่นั่นไม่ใช่จุดจบ มันคือจุดเริ่มต้นสำหรับชายคนนี้

ผู้จัดการทีมวัยละอ่อน 

หลังยุติบทบาทตัวเองในฐานะนักเตะอย่างน่าเสียดาย เฮอเนส ก็ทิ้งความเจ็บปวด และตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางชีวิตใหม่ในฐานะผู้จัดการทั่วไปของบาเยิร์นในวัย 27 ปีในปี 1979 ที่ทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการทีมอายุน้อยที่สุดของบุนเดสลีกาในตอนนั้น

 

“ตอนที่ผมมาถึงที่นี่พร้อมกับเสื้อคลุมสีเทา และสมุดจดที่หนีบไว้ข้างตัว ผมรู้สึกค่อนข้างกล้าได้กล้าเสีย และมีแรงกระตุ้นมาก” เฮอเนสกล่าวถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 1979 กับ DPA

“มันมีโต๊ะอยู่ตรงนั้นและตู้ใส่ของที่มีโทรศัพท์อยู่ข้างบน ทั้งหมดมีแค่นั้น ผมไม่มีเลขา ผมโทรหาคนอื่นไปทั่วเกือบสองชั่วโมง และจากนั้นค่อยกลับบ้าน” 

ที่เยอรมัน ผู้จัดการทีมกับเฮดโค้ชจะทำหน้าที่แยกกัน ต่างจากอังกฤษซึ่งผู้จัดการทีมรับหน้าที่แทบจะทั้งหมด โดยเฮดโค้ชจะเป็นคนทำหน้าที่คุมซ้อม จัดทีมลงแข่ง ปรับแทคติก ส่วนผู้จัดการทีม จะดูแลเรื่องนอกสนาม ตั้งแต่ซื้อขายนักเตะ ไปจนถึงหาสปอนเซอร์ ซึ่งเฮอเนส เข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้

อันที่จริง เฮอเนส ก็ดูเหมือนจะมีแววในด้านนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ เมื่อในปี 1978 เขาคือคนที่ไปเจรจากับ Magirus-Deutz บริษัทผลิตรถบรรทุกให้เข้ามาเป็นสปอนเซอร์คาดอกชุดแข่งของบาเยิร์น

ซึ่งรายได้ในส่วนนั้น ทำให้บาเยิร์น มีเงินไปดึงตัว พอล ไบรท์เนอร์ อดีตนักเตะของทีมกลับมาจาก ไอน์ทรัค เบราน์ชไวค์ และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย กับ เดเอฟเบ โพคาลอีกสมัย รวมไปถึงรองแชมป์ ยูโรเปียนคัพในเวลาต่อมา

ทำให้ตอนที่เข้ามารับตำแหน่ง เฮอเนส ก็สามารถทำได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น เขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงบาเยิร์น จากความเป็นคนช่างคิดของเขา และเพียงฤดูกาลแรกของเขาในบทบาทใหม่ บาเยิร์น ก็ผงาดคว้าแชมป์บุนเดสลีกาได้ทันที

 

ตอนที่เฮอเนสเข้ามา บาเยิร์น มีพนักงานเพียงแค่ 12 คน มีผลประกอบการประจำปีเพียงแค่ 12 ล้านมาร์คและหนี้อีก 7 ล้านมาร์ค แต่ 40 ปีต่อมา เขาทำให้สโมสรกลายเป็นทีมที่มีพนักงานร่วม 1,000 คน และผลกำไรเกือบ 700 ล้านยูโร แถมยังมีกำไร 26 ปีติดต่อกันอีกด้วย

ตลอด 40 ปีกับบาเยิร์น ตั้งแต่ผู้จัดการทั่วไป จนขึ้นมาเป็นประธานสโมสร เขามีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกาไปครองถึง 24 สมัย รวมเป็นแชมป์ลีกสูงสุด 29 สมัย มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลเยอรมัน คว้าแชมปเดเอฟเบอีก 14 สมัย (รวมเป็น 19 สมัย) ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกอีก 2 ครั้ง (รวมเป็น 5 ครั้ง) รวมไปถึงแชมป์ ยูฟ่าคัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และฟุตบอลสโมสรโลกอีกอย่างละสมัย

“ชีวิตการทำงานของเฮอเนสที่บาเยิร์น คือเรื่องราวความสำเร็จที่จะไม่มีใครทำได้อีกในวงการฟุตบอลเยอรมัน” คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ กล่าวในนิตยสารของสโมสร

เขาทำได้อย่างไร?

กล้าคิดกล้าทำ 

ปฏิเสธไม่ได้ว่านอกจากแทคติกในสนาม สิ่งหนึ่งที่ทำให้ บาเยิร์น กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจของฟุตบอลเยอรมัน คือการที่พวกเขาไปกว้านซื้อนักเตะตัวเก่งของทีมคู่แข่ง และมันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่บาเยิร์น ทำมาโดยตลอดนับตั้งแต่ เฮอเนส เป็นผู้จัดการทีม

 

ในอดีตเฮอเนส เป็นที่รู้จักในฐานะผู้จัดการทีมที่มักหอบเงินเต็มกระเป๋าไปทั่วประเทศ เพื่อเสาะหานักเตะของคู่แข่งมาเป็นของตัวเอง และมันก็ทำให้เขากลายเป็นศัตรูของทีมทั่วทั้งลีก แต่เขาก็ไม่สน เพราะคือนโยบายของทีม

“ผมอยากขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดกับบาเยิร์น” เฮอเนสกล่าวกับ DPA

“ผมป่าเถื่อนมากเลยในตอนนั้น แต่ผมก็อ่อนลงมากแล้วทุกวันนี้เวลาต้องเผชิญหน้า” 

เนื่องจากในสมัยนั้น บาเยิร์น ไม่ได้เป็นยอดทีมที่ผูกขาดแชมป์ลีกไว้เพียงผู้เดียวเหมือนอย่างทุกวันนี้ ทำให้เฮอเนสต้อง “สู้โดยไม่มีกฎเกณฑ์” ทำอย่างไรก็ได้เพื่อชัยชนะของทีม หนึ่งในนั้นคือการกว้านซื้อนักเตะคู่แข่ง ที่ปฏิบัติต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

“การเป็นขั้วที่เหนือกว่า เราทำให้บาเยิร์น กลายเป็นทีมที่น่าสนใจกว่าสโมสรอื่น และทำให้เราเป็นผู้นำในตลาด” เฮอเนส กล่าวกับ DPA

ไม่ใช่แค่เรื่องซื้อเท่านั้น เรื่องขาย เฮอเนส ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม หนึ่งในผลงานชิ้นโบว์แดงในอดีต คือการขาย คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ กองหน้าตัวเก่งในวัย 29 ปีให้ อินเตอร์ มิลาน ในปี 1984 ด้วยค่าตัวสูงถึง 11 ล้านมาร์ค (ราว 5.7 ล้านยูโร) ซึ่งถือเป็นสถิติในตอนนั้น จนสามารถปลดหนี้ให้สโมสร

 

“ผมมีช่วงเวลาพิเศษกับอูลี มากมาย และมันเลือกยากมากๆ แต่ถ้าให้เลือกคงต้องเป็นเหตุการณ์เมื่อปี 1984 ที่ผมย้ายจากบาเยิร์นไปอินเตอร์ มิลาน รุมเมนิกเก้ ย้อนความหลังกับเว็บไซต์ fcbayern.com

“ตอนนั้นอูลีเป็นผู้จัดการทีมของมิวนิค และเป็นคนเดินเรื่องเจรจาของสโมสร ในเวลาเดียวกันเขายังเป็นที่ปรึกษาให้ผม มีนักเตะไม่มากนักที่เขาให้ตำปรึกษาหลังจากนั้น อินเตอร์ได้นักเตะใหม่ และผมได้ประสบการณ์ใหม่ และตูมเดียวก็ช่วยปลดหนี้ให้สโมสร มันเป็นการย้ายทีมที่วิน-วินทั้งสองฝ่าย” 

“อันที่จริงหนึ่งปีก่อนหน้านั้น ผมได้รับข้อเสนอก้อนโตจากต่างประเทศ มันน่าสนใจแต่ไม่ได้ดีที่สุด ตอนอายุ 28 ผมอยากได้ประสบการณ์ใหม่ อูลี แนะนำผมให้ปฏิเสธ เขาบอกว่า ‘ถ้ามีคนที่อยากได้นายจริงๆ พวกเขาต้องจ่ายให้ดีจริงๆ’” รุมเมนิกเก้ย้อนความหลัง

“บาเยิร์นได้เงิน 11 ล้านมาร์คจากผม ทำให้พวกเขาสามารถจ่ายหนี้ 7.5 ล้านมาร์ค และมีเงินที่จะซื้อนักเตะอย่าง โลธาร์ มัทเธอุส และ อันเดรียส เบรห์เม อูลีจัดการสิ่งนี้เพื่อฟื้นฟูสโมสร และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางใหม่ที่ทำให้สโมสรประสบความสำเร็จมากมายในประวัติศาสตร์”

นอกจากนี้เขายังเป็นคนกล้าคิดกล้าทำ และกล้าเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นตัวตั้งตัวตีที่ทำให้ บาเยิร์น ย้ายสนามเหย้าจาก มิวนิค โอลิมปิก สเตเดียม ไปเล่นที่ อลิอันซ์ อารีนา ในปี 2005 ซึ่งทำให้ทีมมีโอกาสในการหารายได้มากขึ้น จากจำนวนความจุและความทันสมัยกว่าสนามเดิม

 

“สนามแห่งนี้จะช่วยให้บาเยิร์นก้าวไปสู่โลกใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ เกมการแข่งขันฟุตบอลจะกลายเป็นกิจกรรมความบันเทิง” เฮอเนส กล่าวกับ DPA

ในขณะเดียวกัน เฮอเนส ก็เป็นคนที่สนใจใคร่รู้ตลอดเวลา และพยายามหาช่องทางใหม่ๆ ในการพัฒนาทีมอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในในสนามหรือนอกสนาม เขาบินไปสหรัฐอเมริกา เพื่อหาตลาดขายของที่ระลึกให้บาเยิร์น บินไปแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ เพื่อศึกษาเรื่องสปอนเซอร์ หรือไปที่สโมสร อาหยักซ์ อัมเตอร์สดัม เพื่อเรียนรู้เรื่องอคาเดมี

“เฮอเนส คือผู้บุกเบิกของบาเยิร์น เขาสร้างสโมสรในรูปแบบใหม่ ให้อยู่ในอีกระดับ มีแฟนน้อยมากที่จะมีไอเดียให้สโมสรเดินต่ออย่างไร เมื่อ 40 ปีก่อน” รุมเมนิกเกกล่าวกับ fcbayern.com

“โลกของบาเยิร์น คงจะไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้ แต่เพราะผู้จัดการทีมอูลีที่ฉลาด สร้างสรรค์ และไปข้างหน้าอยู่เสมอ” 

แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง ที่ทำให้เขามาได้ถึงจุดนี้

ความรักต่อบาเยิร์น 

ไม่ใช่แค่ความสามารถเท่านั้น ที่ทำให้เฮอเนส ช่วยขับเคลื่อนบาเยิร์นให้มาอยู่แถวหน้าในปัจจุบัน แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่คอยขับเคลื่อนให้เขาทำเพื่อสโมสรแห่งนี้ นั่นก็คือความรักต่อ บาเยิร์น ที่พิสูจน์ให้เห็นจากความทุ่มเทมาตลอด 40 ปี

 

เฮอเนส แทบจะใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงอยู่กับบาเยิร์น ทุกลมหายใจของเขาคือฟุตบอล ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้สโมสรที่เขารักเป็นอันดับ 1 ให้ได้ ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะ มาจนเป็นประธานสโมสร

“เราเหมือนคนบ้าใช้ชีวิตกับฟุตบอลทั้งวันทั้งคืน เราเดินทางไปทั่วโลกเพื่อทำให้บาเยิร์นเป็นสโมสรชั้นนำของยุโรป” รุมเมนิกเก้ ที่กลับมารับตำแหน่งบริหารของทีมตั้งแต่ปี 1991 กล่าวกับ fcbayern.com

“เขาเป็นเพื่อนกับทีมอยู่เสมอ ตั้งแต่สมัยเป็นผู้จัดการทีมหนุ่ม และมันก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เขาเป็นแฟนตัวยงของบาเยิร์นมาตลอด 40 ปี” 

นั่นจึงทำให้เฮอเนส ยอมไม่ได้หากมีใครมาวิจารณ์ หรือปฏิบัติไม่ดีกับนักเตะและสโมสรของบาเยิร์น เขาพร้อมที่จะออกหน้าปกป้องพวกเขา และตอกกลับโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โดยไม่สนว่าจะถูกตำหนิเลยสักครั้ง

ตัวอย่างล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2019 คือการที่เฮอเนส ออกมาขู่ว่าจะไม่ปล่อยให้นักเตะไปเล่นทีมชาติ หาก มานูเอล นอยเออร์ ไม่ได้เป็นมือหนึ่งของทีมชาติเยอรมัน ที่กลายเป็นดรามาของวงการฟุตบอลไปพักหนึ่ง

“อูลี ถูกมองว่าเป็นศัตรูตั้งแต่แรก แต่เขาก็ไม่สน เพราะว่าชื่อเสียงส่วนตัวของเขาไม่ได้สำคัญเท่ากับ เอฟเซ บาเยิร์น” กุนเธอร์ เน็ตเซอร์ อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติเยอรมันของเฮอเนสกล่าวกับ fcbayern.com

“เขาจะสู้เพื่อสโมสรของเขา แม้มันจะเสี่ยงว่าจะถูกมองเป็นตัวร้าย นั่นคือความยอดเยี่ยมที่แท้จริงในสายตาของผม” 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งเคยเกิดขึ้น แต่เป็นมาตลอดตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มันคือสิ่งที่ เฮอเนส รู้สึกต่อบาเยิร์น จนกลายเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อทีม

“เขาใช้ชีวิตกับสโมสรนี้อย่างกับไม่มีใครเคยทำมาก่อน และคงไม่มีใครทำได้อีกแล้ว” รุมเมนิกเกกล่าว

 

อย่างไรก็ดี แม้จะรักแค่ไหน แต่การจากลา ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับทุกคน และเฮอเนส กับบาเยิร์น ก็มาถึงเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน 2019 ที่ผ่านมา เมื่อเฮอเนส ประกาศก้าวลงจากตำแหน่ง หลังรับใช้ทีมมาอย่างยาวนานถึง 40 ปีพอดี

แม้ก่อนหน้านี้ในปี 2014 เขาจะก้าวลงจากตำแหน่งมาแล้วครั้งหนึ่ง หลังถูกตัดสินจำคุก 3 ปีครึ่งจากคดีเลี่ยงภาษี ก่อนจะถูกปล่อยตัวในปี 2016 และได้รับเลือกกลับมารับตำแหน่งประธานสโมสรอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันคืออำลาที่แท้จริง โดยจะมีตำแหน่งอยู่แค่ในบอร์ดบริหารเท่านั้น

“ไม่เคยมีเลยที่ชีวิตเขาจะไม่มี เอฟเซ บาเยิร์น เขายังคงเป็นที่ต้อนรับสำหรับที่นี่ ผมหวังให้เพื่อนของผมพบเจอกับสิ่งที่ดี” รุมเมนิกเก้กล่าวในวันที่ เฮอเนสอำลาตำแหน่ง

มองจากคนภายนอก เฮอเนส อาจจะเป็นคนอารมณ์ร้อนที่ฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว แต่ลึกลงไปเขาคือคนที่ทุ่มเท เต็มไปด้วยแพชชั่น และพูดในทุกสิ่งที่คิด เพื่อให้สโมสรของเขาประสบความสำเร็จ

ทำให้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะไหน เขาก็คือปูชนียบุคคล สำหรับ บาเยิร์น มิวนิค จากนี้และตลอดไป

“อูลี เฮอเนส คือความโชคดีของบาเยิร์น ไม่ใช่แค่ในฐานะนักเตะ แต่ยังรวมไปถึงในฐานะผู้จัดการทั่วไป ประธานใหญ่ และประธานสโมสร” ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ กล่าว

“สิ่งที่สโมสรเป็นในวันนี้ และคุณค่าที่มากมายที่เห็นก็เป็นก็มาจากการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของเขา ทั้งความรู้เฉพาะด้าน การเจรจา และความสามารถของเขา ต้องบอกว่าเราโชคดีจริงๆ ที่มีเขา”

 

อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.waterpoloshots.com/

หน้าแรก >>> ผลบอลบุนเดสลีกา